โดยที่ในปัจจุบันกระทรวงอุตสาหกรรมมีกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบและกำกับดูแลการดำเนินการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายเหล่านั้น รวม ๑๖ ฉบับ และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่อยู่ในการกำกับดูแลโดยตรงเกี่ยวกับศูนย์บริการเพื่อการลงทุน ซึ่งโดยข้อเท็จจริงกฎหมายต่าง ๆ เหล่านี้ ผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติต่าง ๆ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้ใช้อำนาจในการบริหารงานต่าง ๆ ให้เป็นไปตามกฎหมายโดยตรง คือปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กฎหมายต่าง ๆ ที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำกับดูแลอยู่นั้น บางฉบับก็ได้กำหนดให้มีการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาดูแลรับผิดชอบให้เป็นไปตามบทบัญญัติต่าง ๆ โดยตรง แต่บางฉบับก็ไม่ได้บัญญัติให้มีหน่วยงานไว้แต่ไม่ว่ากรณีจะเป็นอย่างไรก็ตาม ผู้รับผิดชอบในการกำกับดูแลให้ การดำเนินการทั้งหลายเป็นไปตามบทบัญญัติเหล่านั้น คือ รัฐมนตรีว่าการและปลัดกระทรวงตลอดจนรองปลัดกระทรวงหัวหน้ากลุ่มภารกิจต่าง ๆ
นอกจากกฎหมายต่าง ๆ ที่อยู่ในการกำกับดูแลโดยตรงของกระทรวงแล้ว ในปัจจุบันการปฏิบัติหน้าที่ราชการของแต่ละกระทรวง ทบวง กรม นั้น มิได้มีความรับผิดชอบจำกัดอยู่แต่เพียงกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนเท่านั้น แต่จะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับกฎหมายอื่น ๆ ด้วย เช่น กฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา กฎหมายปกครอง หรือกฎหมายข้อมูลข่าวสาร ฯลฯ รวมทั้งราชการของกระทรวงยังอาจต้องเข้าไปเกี่ยวพันกับข้อตกลง ความตกลงและหรือพันธกรณีระหว่างประเทศทางใดทางหนึ่งด้วย เพราะราชการของกระทรวงเป็นราชการที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการผลิตและการประกอบการอุตสาหกรรมทุกประเภท ซึ่งมีความจำเป็นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในกรณีที่รัฐมีนโยบายที่จะจัดทำข้อตกลง ความตกลงและหรือพันธกรณีที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอุตสาหกรรมต่างๆ
ในส่วนของนโยบายในประเทศ รัฐก็มีนโยบายในการปฏิรูประบบราชการและการพัฒนากฎหมายซึ่งจะต้องมีการปรับปรุงและพัฒนากฎหมายให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ ความเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกประเทศ ตลอดจนกระแสโลกาภิวัฒน์ ให้เอื้ออำนวยต่อการส่งเสริมและการพัฒนากิจการอุตสาหกรรมของประเทศ ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกทั้งในด้านคุณภาพและราคา ซึ่งการพัฒนากฎหมายเป็นหน้าที่โดยตรงของกระทรวงที่จะพิจารณาเพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐต่อไป แต่ในปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานที่มีขนาดที่เหมาะสมที่จะรองรับการปฏิบัติภารกิจดังกล่าว
นอกจากเหตุผลต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญประกอบด้วย กล่าวคือ เมื่อพิจารณาถึงโครงสร้างของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมแล้วจะเห็นว่า หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ทั้งในด้านวิชาการ ด้านนโยบายและด้านกฎหมายอยู่ในส่วนภูมิภาค คือ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ทั้ง ๗๕ จังหวัด นั้น ยังไม่มีหน่วยงานใดในสำนักงานปลัดกระทรวงที่จะสามารถให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดโดยตรงได้ ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการปฏิบัติงานของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดที่จะถูกฟ้องคดีได้ เพราะเหตุที่การสั่งการหรือคำสั่งใด ๆ ที่สำนักงาอุตสาหกรรมจังหวัดมีต่อผู้ประกอบการนั้น ส่วนใหญ่ถือเป็นคำสั่งทางปกครอง ดังนั้น การสั่งการต่าง ๆ จึงต้องใช้ความระมัดระวังและสั่งการให้เป็นไปโดยชอบกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้องคดี ซึ่งจะส่งผลให้การปฏิบัติงานของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
ดังนั้น ความจำเป็นที่จะต้องมีหน่วยงานทางด้านกฎหมายโดยตรงในสำนักงานปลัดกระทรวง ที่มีขนาดที่เหมาะสมที่จะรองรับการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติ หรือผู้ใช้อำนาจตามกฎหมายฉบับต่าง ๆ ตลอดจนเป็นหน่วยงานที่จะให้คำปรึกษาเบื้องต้นในทางกฎหมาย เพื่อประกอบการพิจารณาของผู้บริหารระดับสูง และทำหน้าที่เลขานุการของคณะกรรมการพัฒนากฎหมายของกระทรวงอุตสาหกรรม จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีหน่วยงานด้านกฎหมายโดยเฉพาะในสำนักงานปลัดกระทรวง จึงเห็นควรจัดตั้ง “สำนักกฎหมาย” ขึ้นในสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
อำนาจหน้าที่
1. ดำเนินการเกี่ยวกับงานกฎหมาย งานนิติกรรมและสัญญา งานเกี่ยวกับความรับผิดทางแพ่ง อาญา งานคดีปกครอง และงานคดีอื่นที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของสำนักงานปลัดกระทรวง
2. ดำเนินการเกี่ยวกับคดีและการเปรียบเทียบปรับตามกฎหมาย และกฎระเบียบที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงอุตสาหกรรม
3. ศึกษา วิเคราะห์ กฎหมาย กฎ ระเบียบต่างๆ มติคณะรัฐมนตรี เพื่อดำเนินการพิจารณาเสนอความเห็นด้านกฎหมาย และกฎ ระเบียบ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงอุตสาหกรรม
4. ปฏิบัติงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือตามที่ได้รับมอบหมาย